วันพุธที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2553

โดนใจที่สุดเลย คิดได้ไง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
เมื่อครั้งที่พระเจ้าสร้างโลก

พระองค์มีถุงหนังใบใหญ่เอาไว้ใส่ ของวิเศษต่างๆมากมาย
พระองค์เริ่มต้นด้วยการ สร้างมหาสมุทร ทั้ง7
โดยหลักของการวางของวิเศษ พระองค์จะต้องวางทั้ง
ของดีและของไม่ดี คู่กันไป

เพื่อไม่ให้ประเทศหนึ่งประเทศใด
สมบูรณ์ไปกว่าประเทศอื่นๆ

ทรง เอาเทือกเขาร็อกกี้ น้ำตกไนแองการ่า วางไว้ให้อเมริกา
แล้วก็เอาทะเลทรายอริโซน่า กับพายุทอนาโดวางไว้ด้วย

เอาป่าอเมซอน วางไว้ให้บราซิล ทรงเอาไข้ป่า วางไว้ให้ด้วย

เอาขั้วแม่เหล็กโลก วางไว้ให้แคนาดา
แต่ก็ทรงเอาความหนาวเย็นวางไว้ให้

เอาเทือกเขาหิมาลัย
ให้ธิเบตกับเนปาล เพื่อเป็นปราการกั้นข้าศึก
แต่ก็เอาความเบาบางของอากาศ และความแห้งแล้งไว้ให้

ทุกประเทศจะได้ของคู่กันแบบนี้ ทั้งหมด
.....จึงไม่มีประเทศใดน้อยหน้ากว่ากัน

คราวนี้ พระองค์ทรงลืมประเทศ รูปขวานเล็กๆ ทางแหลมอินโดจีน
ทรงสะพายถุงวิเศษ แล้วก้าวข้ามเขาหิมาลัยไป
แต่ด้วยความที่เขาสูงชันมาก
เทือกเขาได้เกี่ยวถุงของพระเจ้าขาด

ข้าวของที่ดีๆ ที่เตรียมเอาไว้ให้ประเทศอื่นๆ
เช่น ชายหาดสวยๆ ผืนดินอุดมสมบูรณ์

ศิลปะวัฒนธรรมดีๆ อาหารอร่อยที่สุดในโลก
ดอกไม้ ผลไม้ ชายทะเล ก็เทไปกองรวมกันที่
--- ประเทศไทยหมด ---

ว้า !! แย่แล้ว พระเจ้า ทรงคิดว่า ประเทศนี้
ท่าทางต้องเจริญกว่าประเทศอื่นๆ ทั้งหมดแน่นอน

พระเจ้าทรงมองหาภัยธรรมชาติที่จะมาถ่วงดุล แต่สายเสียแล้ว
พระองค์ทรงเอาภูเขาไฟ กับแผ่นดินไหว ให้ญี่ปุ่นไปแล้ว
ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ ประเทศอื่นๆ
จะมาฟ้องร้องพระองค์ได้ว่า พระองค์ไม่ยุติธรรม

จะมีภัยธรรมชาติอันใดหนอที่ จะทำให้ประเทศไทยไม่เจริญกว่า
ประเทศอื่นๆได้ เมื่อทรงคิดได้
เพื่อเป็นการป้องกัน ประเทศอันสมบูรณ์ที่สุดในโลกนี้
ไม่ให้เจริญล้ำไปกว่า ที่อื่นๆ

พระองค์ก็เลยสร้าง นักการเมืองไทยขึ้นมา
ถ้ามีนักการเมืองไทยอยู่ล่ะก็
ต่อให้สมบูรณ์แค่ไหน ไทยก็ไม่มีวันเจริญ......

วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2553

ถ้ามีแฟนแบบนี้.... (เหมือนผมเลย)

บทสนทนาของ ชาย หญิงคู่หนึ่งซึ่งเป็น แฟนกัน

ญ. :: คุณเคยคิดถึงฉันบ้างไหม?

ช. :: ไม่เคย

ญ. :: คุณชอบฉัน ไหม?

ช. :: ไม่

ญ. :: คุณอยากได้ฉันไหม?

ช. :: ไม่

ญ. :: คุณจะ ร้องไห้ไหม ถ้าฉันจากไป?

ช. :: ไม่

ญ. :: คุณจะอยู่เพื่อฉันไหม?

ช. :: ไม่

ญ. :: คุณจะทำอะไรสักให้ฉันได้ไหม?

ช. :: ไม่ ได้

ญ. :: คุณจะเลือกอะไร ระหว่าง 'ชีวิตคุณ กับ ชีวิตฉัน?

ช. :: ชีวิต ฉัน


__________________________________________________ ____________________


หญิงสาวรู้สึกเสียใจมาก เธอหันหลังวิ่ง หนีจากชายหนุ่มที่

ขึ้นชื่อว่าเป็นแฟนเธอ แต่เขาก็วิ่งตามเธอไป

พร้อมทั้ง ตะโกนว่า......



__________________________________________________ ____________________


เหตุผลที่ฉันไม่เคยคิดถึงเธอ เพราะว่าเธออยู่ในความคิดฉันเสมอ

เหตุผลที่ฉันไม่ชอบเธอ เพราะฉันรักเธอ

เหตุผลที่ฉันไม่อยากได้เธอ เพราะฉันต้องการ และจำ เป็นต้องมีเธอ

เหตูผลที่ฉันไม่ร้องไห้ ถ้าเธอจากไป เพราะฉันคงจะตายทั้งเป็น ถ้าไม่มีเธอ

เหตุผลที่ฉันไม่อยู่เพื่อเธอ เพราะฉันจะตายเพื่อเธอ

เหตุผลที่ฉันทำอะไรให้เธอสักอย่างไม่ได้ เพราะฉันยินดีและเต็มใจทำให้เธอ ทุกอย่าง

และเหตุผลที่ฉันเลือกชีวิตฉัน เพราะ เธอคือชีวิต ฉัน

วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2553

ผี 3 ตัว (แก้เซ็ง)

ผีสามตัว นั่งคุยกัน อยู่ข้างวัด เงียบสงัด วังเวง น่าเกรงขาม
นั่งปรับทุก ถามสุกดิบ ตอนสามยาม ตัวแรกถาม ตัวที่สอง บอกข้าที
ว่าทำไม เจ้าใย ถึงตายเล่า เรื่องมันเศร้า ข้าโดนยิง ตอนหลบหนี
แล้วย้อนถาม เจ้าทำไม สิ้นชีวี ตัวข้านี้ โดนแทง ตอนตีกัน
ผีทั้งสอง หันไปมอง ตัวที่สาม แล้วเอ่ยถาม ว่าทำไม ถึงตัวสั่น
ทั้งร้องไห้ เหงื่อท่วมหน้า ทำไมกัน พวกเรานั้น พร้อมเข้าใจ ให้บอกมา
ตัวที่สาม อ้ำอึ้ง อยู่ชั่วครู่ ก็ไม่รู้ ว่าจะพูด ดีไหมหนา
ตัดสินใจ สุดกล้ำกลืน ฝืนอุรา อันตัวข้า มานั่งขี้ ยังไม่ตาย.....

วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

รูปแบบข้อมูลเวกเตอร์

คำว่าเวกเตอร์ โดยนัยแล้วคือ "เส้นที่มีทิศทาง" ด้วยเหตุนี้ข้อมูลเวกเตอร์ในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ จึงหมายถึงการนำเสนอข้อมูลเชิงภูมิศาสตร์ด้วยหลักการของเส้นที่มีทิศทางนั่นเอง "รูปแบบข้อมูลเวกเตอร์" จะเกิดจากการนำเสนอด้วยจุดที่ต่อเนื่องกัน หรือ เรียกว่า เส้นเรียงเชื่อมต่อจุด ที่ใช้นำเสนอในลักษณะของการแบ่งเส้นออกมาเป็นส่วนๆ ซึ่งในแต่ละ vertices ต่างก็จะมีจุดต้นทา่งและจุดปลายทางที่เรียกว่า "vertex"
เส้นของเวกเตอร์ มักจะถูกเรียกว่า "arcs" และ "arcs" เหล่านี้จะประกอบไปด้วยแนวของ "vertices" ซึ่งแนวของ vertices เหล่านี้ จะสิ้นสุดหรือยุติลงด้วยปุ่มปม
เมื่อพิจารณาโดยสรุปแล้ว สิ่งสำคัญในกรณีของรูปแบบข้อมูลเวกเตอร์ก็คือ รูปลักษณ์แบบจุด ซึ่งถูกกำหนดด้วยชุดของค่าพิกัด x , y เพียง 1 คู่ และเมื่อจุดเกิดการเรียงตัวมากขึ้นก็จะกลายเป็น arc โดยจุดที่เรียงตัวกันเหล่านี้ก็จะถูกเรียกใขชื่อใหม่ว่า "vertices" โดยมี node เป็นจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ทฤษฎีคลาสสิค

ลักษณะสำคัญจะมี 3 ข้อ ดังนี้

ข้อ 1 ได้วิวัฒนาการมาจากเศรษศาสตร์แขนงคลาสสิคใหม่ จึงมีความคล้ายคลึงกันในด้านคตินิยม และในด้านทฤษฎีความรู้
ข้อ 2 จะแสดงถึงสภาวะดุลยภาพเพียงส่วนหนึ่ง กล่าวคือ จะเลือกพิจารณาเฉพาะบางปัจจัย
ข้อ 3 จัดว่าเป็นทฤษฎีประเภทปทัฏฐานที่กล่าวถึงสภาวะที่ควรจะเป็นซึงตรงข้ามกับทฤษฎีที่เป็นปฏิฐานที่แสดงสภาวะที่เป็นอยู่

วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2553

ไอแซก นิวตัน (IsaacErnest Newton)

ไอแซก นิวตัน เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่นับว่าเป็นอัจฉริยะคนหนึ่งของโลก เขาเกิดมาเพื่อสร้างสรรค์ประดิษฐ์คิดค้นโดยเฉพาะ นิวตันเกิดมาในครอบครัวที่ฐานะไม่สู้ดี พ่อของเขาเสียชีวิตขณะเขายังไม่ได้กำเนิดเสียอีก โชคร้ายเขายังคลอดก่อนกำหนดทำให้ตัวเล็ก พออายุได้ 2 ขวบ มารดาแต่งงานใหม่ กับนักบวช ช่วงนี้เขาได้ศึกษาที่โรงเรียนคิงส์ เพราะความฉลาด รักการอ่านหนังสือ แต่เขาไม่ชอบสุงสิงกับเพื่อนๆ ผลงานชิ้นแรกที่เขาประดิษฐ์คือ นาฬิกาแดด (Sun Dial) หลังจากนั้นได้เข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (Cambridge University) เมื่อสำเร็จการศึกษา เขาได้รับการบรรจุเป็นอาจารย์สอนวิชาคณิตศาสตร์
ผลงานการประดิษฐ์ต่อมาคือ การประดิษฐ์กล้องโทรทรรศน์ และการค้นพบสมบัติของแสงทั้ง 7 สี คือ ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง เมื่อทั้ง 7 รวมกันจะกลายเป็นแสงสีขาว ผลงานสร้างชื่อเสียงมากที่สุดคือ การค้นพบกฎแรงดึงดึงดูดของโลก (Law of Gravitation) เขาสงสัยว่าผลไม้หรือสิ่งของต่างๆ ทำไมร่วงลงสู่พื้น ทำให้เขาทดลองเกี่ยวกับแรงโน้มถ่วงของโลก นอกจากนี้ยังค้นพบคณิตศาสตร์แขนงใหม่ คือ แคลคูลัส (Calculas) สำหรับการคำนวณ หาความยาวของเส้นโค้ง บนพื้นผิว นอกจากนี้เขายังได้ทำงานการเมืองฝ่ายบริหารหน่วยงานกรมกษาปณ์ ทำหน้าที่รับผิดชอบการผลิตเหรียญและธนบัตรสามารถแก้ไขปัญญาเงินปลอมได้ จนสมเด็จพระนางเจ้าแอนน์ (Queen Ann) พระราชินีแห่งอังกฤษ ได้พระราชทานบรรดาศักดิ์ในตำแหน่งท่านเซอร์ (Sir) ให้กับเขา เขาทำงานค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์อย่างต่อเนื่องแม้จนบั้นปลายชีวิตทำให้สุขภาพเสื่อมโทรมจนเสียชีวิตขณะอายุได้ 85 ปี

วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ความเป็นมาของวันขึ้นปีใหม่

ในอดีต วันขึ้นปีใหม่ของไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงมาแล้ว 4 ครั้งคือ ครั้งแรกถือเอาวันแรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่ซึ่ง ตรงกับเดือนมกราคม ครั้งที่ 2 กำหนดให้วันขึ้นปีใหม่ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ตามคติพราหมณ์ ซึ่งตรงกับเดือนเมษายน

การกำหนดวันขึ้นปีใหม่ใน 2 ครั้งนี้ ถือเอาทางจันทรคติเป็นหลัก ต่อมาได้ถือเอาทางสุริยคติแทน โดยกำหนดให้วันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ ตั้งแต่ พ.ศ.2432 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่โดยเฉพาะตามชนบทยังคงยึดถือเอาวันสงกรานต์เป็น วันขึ้นปีใหม่อยู่ ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ทางราชการเห็นว่าวันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน ไม่สู้จะมีการรื่นเริงอะไรมากนัก สมควรที่จะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ จึงได้ประกาศให้มีงานรื่นเริงวันขึ้นปีใหม่ในวันที่ 1 เมษายน 2477 ขึ้นใน กรุงเทพฯเป็นครั้งแรก

การจัดงานวันขึ้นปีใหม่ที่ได้เริ่มเมื่อวันที่ 1 เมษายน ได้แพร่หลายออกไปต่างจังหวัดในปีต่อๆมา และในปี พ.ศ.2479 ก็ได้มีการ จัดงานรื่นเริงปีใหม่ทั่วทุกจังหวัด วันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน ในสมัยนั้นทางราชการเรียกว่า วันตรุษสงกรานต์

ต่อมาได้มีการพิจารณาเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยคณะรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้น ซึ่งมีหลวงวิจิตรวาทการ เป็นประธานกรรมการ ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่ 1 มกราคม โดยกำหนดให้วันที่ 1 มกราคม 2484 เป็น วันขึ้นปีใหม่เป็นต้นไป